วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

บทที่ 9 การวางตนให้เหมาะสมในโอกาสต่างๆ

ในห้องเรียน
เป็นเรื่องสำคัญที่นักเรียนต้องเข้าห้องเรียนให้ตรงเวลา ไม่มาสาย ตั้งใจเรียน กล้าพูด กล้าถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจ กล้าตอบคำถาม กล้าแสดง  ความคิดเห็น จะทำให้สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น ดีขึ้น หลักความคิดที่สำคัญคือ ต้องไม่กลัวผิด เพราะผิดเป็นครู หากพูดผิดก็จะทำให้ครูรู้ว่าเราผิดตรงไหน จะได้ช่วยแก้ไข บอกสิ่งที่ถูก ทำให้เราได้พัฒนาและเรียนรู้มากขึ้น
นอกห้องเรียน
ที่โรงเรียน จะมีห้องรับแขกหรือสถานที่ที่จัดไว้ให้เข้าไปนั่งพักผ่อน พูดคุยกัน หรือเป็นสถานที่ออกกำลังกาย มีกิจกรรมนันทนาการต่างๆ เหล่านี้ เป็นโอกาสที่จะได้พูดคุยกับเพื่อนต่างชาติ เพื่อฝึกฝนภาษาและเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกันมากขึ้น
ขอให้ตะหนักว่า นอกจากการเดินทางมาประเทศอังกฤษเพื่อพัฒนาตัวเองด้านการใช้ภาษาอังกฤษแล้ว การมาที่ประเทศอังกฤษ ยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมที่หลากหลาย ที่แตกต่างจากของไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้น นักเรียนจะควรเปิดใจกว้าง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยยอมรับความแตกต่าง จะช่วยทำให้นักเรียนปรับตัวปรับใจเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น ในห้องเรียนภาษาอังกฤษ เป็นแหล่งรวมของนักเรียนต่างชาติต่างภาษา ซึ่งนอกจากจะได้เรียนวัฒนธรรมของอังกฤษแล้วยังสามารถได้เรียนรู้วัฒนธรรมของชาติต่างๆ อีกด้วย
มารยาทในการใช้ห้องนอน
อยู่ในห้องนอนเมื่อถึงเวลานอน นักเรียนไม่ควรเก็บตัวอยู่ทั้งวันแต่ในห้องนอน ดังนั้น หากเป็นช่วงเวลาอื่นๆ ที่ไม่ใช่เวลานอนนักเรียนควรลงไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นหรือไปร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับสมาชิกของครอบครัวชาวอังกฤษ เช่นร่วมทำงานบ้าน ช่วยทำครัว ร่วมนั่งดูโทรทัศน์ ฯลฯ เรารู้ดีว่า การกระทำดังกล่าว ในช่วงแรกนักเรียนอาจจะรู้สึกอึดอัด ขวยเขิน ไม่คุ้นเคย แต่เราเชื่อว่าสักพักความรู้สึกนี้ก็จะหาย และนักเรียนก็จะคุ้นเคยและเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัวชาวอังกฤษได้มากขึ้น
บ้านของคนอังกฤษ มีเครื่องทำความร้อน (Heater) ซึ่งจะปิดในเวลานอน (ราวๆ สี่ทุ่ม) และเปิดอีกทีเวลาคนตื่นนอนตอนเช้า เนื่องจากการทำความร้อนราคาแพงและเมื่อเข้านอน เราอยู่ใต้ผ้าห่มจึงไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องทำความร้อนเอาไว้ หากรู้สึกหนาวให้ขอผ้าห่มเพิ่ม แต่ถ้าทนหนาวไม่ไหว ควรขอให้ครอบครัวเจ้าบ้านเปิดเครื่องทำความร้อนให้นานขึ้นอีกนิด
นักเรียนควรดูแลรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้องนอนของตัวเอง จัดที่นอนของตัวเองทุกครั้งหลังจากตื่นนอนตอนเช้า
มารยาทในการใช้ห้องน้ำ
ไม่ควรอาบน้ำในช่วงดึกเกินไป เพราะอาจจะเกิดเสียงรบกวนคนในบ้าน โดยเฉพาะหากเป็นบ้านขนาดเล็ก หรือบ้านที่มีเด็กเล็ก
ทุกครั้งหลังใช้ห้องน้ำ ควรดูแลความสะอาดเพื่อให้เป็นมารยาทที่ดีสำหรับคนที่จะใช้ห้องน้ำถัดไป เช่นเด็กผู้ชาย ควรยกที่นั่งชักโครกขึ้นเมื่อจะปัสสาวะและทำความสะอาดก่อนออกจากห้องน้ำทุกครั้ง
ทุกครั้งที่อาบน้ำ ต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำหกหรือกระเด็นออกไปนอกลงพื้นห้องน้ำในส่วนที่ไม่ใช่เป็นส่วนที่อาบน้ำ ทำความสะอาดพื้นห้องน้ำส่วนดังกล่าวให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อคนอื่นที่เข้าห้องน้ำถัดจากนักเรียนจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดขยะแขยง
มารยาทในการรับประทานอาหาร
ควรพยายามทดลองทานอาหารที่ครอบครัวจัดให้ทุกๆ อย่าง หากรสชาติไม่ถูกปากนัก สามารถขอเติมเกลือ พริกไทย ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก เพิ่มได้ แต่   อาหารที่ทานจะถูกปากหรือไม่อย่างไร โดยมารยาท ต้องปากหวานเข้าไว้ ชมว่าดี (umm, this is good, nice) อร่อย (delicious) เพราะผู้ที่จัดเตรียมอาหาร ก็มีความตั้งใจทำให้เราทาน คำชมจากผู้ทานจึงเป็นสิ่งที่ดีแทนคำขอบคุณ อิ่มแล้ว ให้พูดว่า I’m full, thank you หากจะรับประทานขนมหรืออาหารที่เจ้าของบ้านวางเอาไว้ ควรขออนุญาตก่อนทุกครั้ง (May I …, please?)
ควรมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นให้ตรงเวลา และควรแจ้งให้เจ้าของบ้านทราบล่วงหน้าทุกครั้ง หากไม่ทานอาหารเย็น หรือหากต้องการรับประทานก่อนหรือหลังเวลาอาหาร เนื่องจากบางครั้งบางโรงเรียนจะจัดกิจกรรมในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน
บอกให้เจ้าของบ้านทราบล่วงหน้าได้ หากไม่สามารถรับประทานอาหารบางชนิด เช่น แพ้อาหารบางอย่าง (I’m allergic to …)
มารยาทในการใช้โทรศัพท์
ควรขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อนการใช้โทรศัพท์ทุกครั้ง และจะใช้โทรศัพท์ได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตเท่านั้น นักเรียนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
สำหรับนักเรียนที่พักอยู่กับครอบครัว Host Family ไม่แนะนำให้ใช้โทรศัพท์บ้านของ Host Family ถ้าไม่จำเป็น ยกเว้นจะได้รับอนุญาตด้วยความเต็มใจ เพราะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะไปรวมอยู่กับบิลค่าโทรศัพท์บ้าน ซึ่งอาจทำให้เป็นภาระของเจ้าของบ้าน จึงแนะนำให้ใช้โทรศัพท์มือถือของนักเรียนเองเพื่อโทรกลับประเทศไทยเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
ไม่ควรใช้โทรศัพท์เป็นเวลานานเกินไปเพราะเป็นการเสียมารยาท และไม่ควรใช้หลัง 4 ทุ่ม

เราเข้าใจความรู้สึกว่า เวลาอยู่ห่างไกลจากบ้านที่เมืองไทย ทุกคนย่อมต้องคิดถึงบ้าน แต่กระนั้น เราก็อยากจะแนะนำว่า ให้อดทน ฝึกจิตใจตนเอง ให้ไม่โทรกลับเมืองไทยบ่อยๆ เพราะนอกจาก อาจทำให้นักเรียนคิดถึงบ้านเพิ่มมากขึ้นไปอีกแล้ว ยังทำให้ผู้ปกครองทางเมืองไทยเกิดความรู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นอีกด้วย เราแนะนำว่า ควรหากิจกรรม งานอดิเรกหลายๆ อย่างทำ และทำร่วมกับคนอื่น เช่นครอบครัวชาวต่างชาติ หรือ เพื่อนนักเรียนต่างชาติ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี ท่องเที่ยว หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยคลายเหงาแล้วยังช่วยให้นักเรียนได้พัฒนาภาษาอังกฤษขึ้นอีกด้วย

บทที่ 8 การปรับปรุงตนเอง

การปรับปรุงตนเองเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์
แนวทางในการปรับปรุงตนเองเพื่อให้เกิดความราบรื่นใน การสร้างความสัมพันธ์ กับบุคคลทั่วไปนั้น ได้มีผู้ให้ทัศนะไว้หลากหลาย ดังจะได้นำเสนอให้เลือกพิจารณา ใช้เป็นแนวคิดดังต่อไปนี้
โรเบิร์ต คอลคลิน (Robert conclin) ได้เสนอความคิดในการปรับปรุงตนเองไว้ดังนี้ ("พลวัต" 2531:1)
1. ให้สิ่งที่คนอื่นอยากได้
2. เปลี่ยนแปลงตัวคุณเองก่อน
3. สร้างความประทับใจกับความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์
4. จูงใจคนให้เป็น
5. จงขจัดความขัดแย้ง และความบาดหมางออกจากสัมพันธภาพ
6. สร้างความอดกลั้นและความพยายามเข้าใจผู้อื่น
7. รู้จักเป็นผู้ฟังที่ดี
8. จงมองผู้อื่นให้ถูกต้อง มองปัญหาให้ถูกจุด
วิจิต อาวะกุล (วิจิตร อาวะกุล 2526 : 64-65) ได้กล่าวถึงการปรับปรุงตนเองเพื่อ มนุษยสัมพันธ์ไว้ดังต่อไปนี้
1. ท่านต้องมีความรู้สึก อยากคบหาสมาคมเป็นมิตรกับคน ถ้ายังไม่มีต้องสร้างสิ่งนี้ให้ เกิดขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายพูดคุยกับผู้อื่นเสียบ้าง
2. หัดมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยที่เขาไม่ต้องขอร้อง เช่น ช่วยถือของ รับโทรศัพท์ให้เพื่อนด้วยความเห็นใจ อย่าเป็นคนใจดำ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
3. ไม่ตระหนี่ แบ่งปันของให้กับเพื่อนแม้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ
4. มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน หรืองานที่ทำร่วมกันกับเพื่อนให้ได้ดี
5. เลิกเป็นคนแข็งกระด้าง เพื่อความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกิดความประทับใจ และชอบพอของคนทั่วไป
6. มีความเกรงใจผู้อื่น ไม่ล่วงล้ำสิทธิของผู้อื่น เอาเปรียบเพื่อนเอาแต่ได้ มิได้นึกถึงผู้อื่น หยาบคาย ไร้มารยาท
7. หัดเป็นคนให้ความร่วมมือ ในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เฉพาะประโยชน์ ส่วนตัวจึงจะทำ
8. ต้องไม่เลือกคบเลือกพูดกับคนบางคนเท่านั้น แต่ควรจะทักทายพูดคุย กับคนทั่วไป
9. หลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่ไม่จำเป็น ถ้าเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นก็ควรปลีกตัวหนีไปเสีย จะดีกว่า
10. หัดเป็นคนคิดก่อนพูด ก่อนการกระทำเสมอ
11. หัดตรงต่อเวลาในการนัดหมาย ท่านเคยผิดนัดกับใครบ้างหรือไม่ สายเป็นประจำจน คนอื่นรำคาญหรือเปล่า
12. มีความจริงใจ มีความสัตย์จริงต่อเพื่อน และมิตรสหาย อย่าเป็นคนไม่น่าไว้ใจหรือไว้ ใจไม่ได้
13. ไม่รับของเพื่อฝ่ายเดียว ท่านต้องให้ตอบแทนเขาบ้างเมื่อท่านมีโอกาส และท่านต้องไม่เปรียบเพื่อน คอยแต่กอบโกยผลประโยชน์จากเพื่อน
14. ไม่พูดจาหยาบคาย กระด้าง ห้วย กระโชก แต่ต้องพูดสุภาพ หัดพูดมีหางเสียงเสียบ้าง กิริยาควรสุภาพเรียบร้อย
15. เป็นผู้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการงานส่วนรวมของที่ทำงานอยู่เสมอ
16. ไม่นินทาผู้อื่น ให้ร้ายป้ายสีผู้อื่นลับหลังแต่ต่อหน้าทำดี
17. อย่าเป็นคนโหดร้าย ทารุน แต่ควรมีความกรุณาปราณี


บทที่ 7 มารยาทในงานเลี้ยงรับรอง

การเตรียมตัว
เข้าใจความหมายและวัตถุประสงค์ของงานเลี้ยง
การตอบรับ ตอบปฏิเสธบัตรเชิญ
ศึกษาขั้นตอนหรือลำดับของงานเลี้ยง
ข้อมูลรูปแบบการจัดโต๊ะอาหาร (มีผังที่นั่งหรือไม่มีผัง)
บุคคลสำคัญและจำนวนแขกที่เชิญร่วมงาน
เตรียมของขวัญ (หากจำเป็น)
มารยาทสำคัญในงานเลี้ยง
ไปงานเลี้ยงให้ตรงเวลา
ทักทายเจ้าภาพและแขกอื่นและอำลาเจ้าภาพเมื่องานเลิก
ส่งเสริมบรรยากาศของงานโดยการร่วมสนทนาพูดคุยตามสมควรอย่าอยู่นานเกินไป
   (Oh, don’t leave. Do stay longer)
อย่าลืมของขวัญและการขอบคุณ
มารยาทบนโต๊ะอาหาร
กินดื่มด้วยความสุภาพเรียบร้อย ให้ถูกต้องตามลักษณะวัฒนธรรม
วางตัวให้เหมาะสมในโต๊ะอาหาร โดยร่วมการสนทนาพูดคุยตามสมควร
กล่าวสุนทรพจน์ (หากมี)
การใช้อุปกรณ์บนโต๊ะอาหารที่ถูกต้อง
มีด/ช้อน (อยู่ด้านขวา)
ส้อม (อยู่ด้านซ้าย)
แก้วน้ำและแก้วไวน์ วางอยู่ด้านขวามือเหนือ มีดและช้อน
ผ้าเช็ดปาก อาจวางอยู่บนจานรองหรือบนโต๊ะข้างส้อม

ขนมปัง อยู่ด้านซ้ายมือ

บทที่ 6 มารยาทในการรับประทานอาหาร

การเรียนรู้เรื่องมารยาทในการรับประทานอาหาร ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำ และนำมาปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม เพราะนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้กับตัวเราเองแล้ว ยังเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีในการรับประทานอาหารให้กับเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารอีกด้วย วันนี้กระปุกดอทคอมจึงหยิบเอามารยาททั่วไปที่ควรปฏิบัติในการรับประทานอาหารมาฝากกันค่ะ


 มารยาทในการรับประทานอาหารแบบสากล




          ก่อนอื่นเราก็ต้องมาทำความรู้จักกันก่อนว่ามารยาทในการรับประทานอาหารแบบสากลมีอะไรบ้าง สิ่งไหนควร สิ่งไหนไม่ควรปฏิบัติขณะร่วมโต๊ะอาหารกับคนอื่น โดยเฉพาะการร่วมวงรับประทานอาหารกับชาวต่างชาติ และนี่ก็คือเคล็ดลับทั่วไปในการรับประทานอาหารตามหลักสากลที่เราควรรู้ค่ะ

           1. ไม่ส่งเสียงดังขณะรับประทานอาหาร

           2. ควรตักอาหารคำเล็ก ๆ ไม่เลือกตักเฉพาะอาหารที่ชอบ

           3. อย่าบ่นเมื่ออาหารไม่ถูกปาก 

           4. ไม่ควรบังคับให้แขกรับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ตัวเองอยากให้รับประทาน

           5. พยายามพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารบ้าง เพื่อไม่ให้โต๊ะอาหารเงียบจนเกินไป

           6. ไม่ควรว่ากล่าวหรือนินทาใครขณะรับประทานอาหาร

           7. ควรนั่งรับประทานอาหารด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผย

           8. ไม่กระดิกเท้า หรือเคาะโต๊ะ

           9. ไม่สูบบุหรี่ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง

           10. ถ้าอาหารที่ยกมาเสิร์ฟมีฝาปิด ให้เปิดฝาลงไว้ในจาน

           11. ไม่รับประทานอาหารมูมมาม

          จะเห็นว่าหลักการรับประทานอาหารในแบบสากลที่ควรรู้นั้น ไม่ได้มีข้อจำกัดที่ยุ่งยากมากจนเกินไปอย่างที่หลาย ๆ คนกังวลกันเลย แต่มันกลับเป็นแค่ทริคง่าย ๆ ที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ยากเย็นเลยล่ะ


 มารยาทในการรับประทานอาหารแบบยุโรป




          มาดูเรื่องมารยาทในการรับประทานอาหารแบบยุโรปกันบ้าง มารยาทการรับประทานอาหารแบบยุโรปก็ไม่ได้แตกต่างออกไปจากแบบสากลมากนัก เพียงแต่เพิ่มรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้ามานิดหน่อยเท่านั้นเอง โดยเฉพาะเรื่องการใช้อุปกรณ์ทานอาหารที่จะมีขั้นตอนเพิ่มเข้ามา เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบจับอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารขึ้นมาใช้ได้อย่างถูกต้อง ลองมาอ่านแล้วจดจำไปใช้กันเลยจ้า

          สำหรับอาหารยุโรป จะแบ่งการรับประทานออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะของกับใช้อุปกรณ์ คือ

          แบบที่ 1 แบบอเมริกัน เป็นแบบที่ใช้ส้อมด้วยมือขวา และเมื่อจะรับประทานอาหาร ต้องยกปลายส้อมขึ้นข้างบน แล้วใช้ส้อมตักอาหาร ส่วนมีดหากไม่ใช้ให้วางไว้ข้าง ๆ จาน

          แบบที่ 2 แบบยุโรป เป็นแบบที่ใช้ส้อมด้วยมือซ้าย และเมื่อจะรับประทานอาหาร ให้คว่ำปลายส้อมลง และถือมีดไว้ด้วยมือขวา

          ส่วนการอุปกรณ์ในการรับประทานอาหารต่าง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ เราควรหยิบมาใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม ดังนี้

           1. อันดับแรกควรหยิบผ้าเช็ดปากที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารมาคลี่ออก แล้วนำมาวางไว้บนตัก เพื่อใช้ซับอาหารที่ติดปาก

           2. ถ้าผ้าเช็ดปากตก ให้พยายามหยิบโดยไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้อื่น

           3. ถ้ามีความจำเป็นต้องลุกจากโต๊ะอาหาร ในระหว่างที่ยังรับประทานอาหารอยู่ ให้วางผ้าเช็ดปากไว้ที่เก้าอี้

           4. เมื่อใช้ผ้าเช็ดปากเสร็จแล้วไม่ต้องพับ ให้วางไว้บนโต๊ะด้านซ้ายมือ

           5. ถ้าเป็นการรับประทานอาหารในแบบอเมริกัน ให้ใช้มือขวาจับส้อม และใช้มือซ้ายจับมีดหรือช้อน แต่ถ้าเป็นการรับประทานอาหารในแบบยุโรป ให้ใช้มือซ้ายจับส้อม และใช้มือขวาจับมีดหรือช้อน

           6. ส่วนการรับประทานซุป ให้ใช้ช้อนตักซุปออกจากตัว และรับประทานซุปด้านข้างช้อน

           7. สำหรับการใช้มีด เราควรพึงระลึกอยู่เสมอว่ามีดมีไว้ใช้หั่นอาหารเท่านั้น จึงไม่ควรใช้มีดตักหรือจิ้มอาหารเข้าปาก

           8. แก้วน้ำให้หยิบด้านขวามือของตัวเอง อย่าเผลอไปหยิบด้านซ้าย เพราะจะทำให้โต๊ะอาหารรวนไปทั้งโต๊ะ

           9. เมื่อเลิกใช้ช้อน ส้อม และมีดแล้ว ให้วางไว้บนจานรอง หรือจานอาหาร อย่าวางไว้บนโต๊ะเด็ดขาด

          เห็นไหมคะว่า เคล็ดลับในการรับประทานอาหารในแบบยุโรป ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหลาย ๆ คนอีกต่อไป เพราะเพียงแค่เราจดจำรายละเอียดของการใช้อุปกรณ์บนโต๊ะอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้ให้ได้ แล้วนำไปบวกกับเคล็ดลับง่าย ๆ ในการรับประทานอาหารในแบบสากล เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถรับประทานอาหารยุโรปได้อย่างไม่ต้องอายใครอีกต่อไปแล้ว




 มารยาทในการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์




          ส่วนมารยาทในการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องจดจำเช่นกันค่ะ เพราะผู้รับประทานจะต้องช่วยเหลือตนเองในการตักอาหาร เราก็เลยหยิบเอาหลักการง่าย ๆ ในการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ที่ควรปฏิบัติมาฝากกัน


           1. ควรลุกไปตักอาหารเอง โดยยืนต่อแถว ไม่ตักอาหารเผื่อคนอื่น และอย่าตักอาหารมากจนเกินไป ถ้าไม่พอสามารถไปเติมใหม่ได้

           2. ไม่พูดคุยขณะที่ตักอาหาร รีบตักอาหารเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ผู้อื่นได้ตักอาหารบ้าง

           3. ตักอาหารเป็นอย่าง ๆ อย่าวางสุมทับกัน ถ้าของเป็นชิ้นควรหยิบเพียงหนึ่งชิ้น

           4. อาหารที่ตักมาต้องรับประทานให้หมด 

           5. เมื่อรับประทานเสร็จ ต้องเขี่ยเศษอาหารในจานให้อยู่รวมกัน แล้วรวบรวมช้อนส้อมให้เรียบร้อย

           6. ไม่ควรใส่กระดาษเช็ดมือที่ใช้แล้วลงในจาน เพราะจะทำให้ปลิว และเก็บลำบาก จึงควรใช้จานวางทับไว้

           7. ถ้ามีข้อกำหนดให้เอาจานอาหารมาวางไว้ที่ใดที่หนึ่งเมื่อรับประทานเสร็จแล้วควรปฏิบัติตาม

           8. อาหารหวาน ควรตักเมื่อรับประทานอาคารคาวเสร็จแล้ว

           9. ไม่เบียดหรือแซงคิวผู้อื่น ขณะไปยืนรอตักอาหาร รอจังหวะให้ผู้อื่นตักเสร็จเสียก่อน

          สำหรับเรื่องการวางตัวในการรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เรานำมาให้ดูกันนั้น สามารถนำไปใช้ในการรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ทั้งของต่างชาติและของไทยได้อย่างลงตัว เพราะไม่ว่าจะชาติไหน ๆ การเข้าคิวยืนรอตักอาหารก็ถือเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง



 มารยาทในการรับประทานอาหารแบบไทย



          หลังจากที่นำเสนอมารยาทในการรับประทานอาหารในแบบสากลและแบบยุโรปกันไปแล้ว ก็ขอปิดท้ายที่มารยาทในการรับประทานอาหารแบบไทยกันบ้าง ขอบอกว่าเรื่องนี้คนไทยทุกคนควรจะต้องรู้ และปฏิบัติตามให้ได้นะจ๊ะ ซึ่งการรับประทานอาหารของไทย จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ อาหารแบบตั้งโต๊ะที่มีอาหารตั้งอยู่บนโต๊ะเอาไว้แล้ว และอาหารแบบที่ค่อย ๆ ทยอยเสิร์ฟมาทีละจาน ลองมาดูกันสิว่าเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง

           1. ถ้าไปร่วมงานไม่ได้ ควรแจ้งให้เจ้าภาพทราบล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 1 วัน

           2. เตรียมเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับงานที่จะไปให้พร้อม 

           3. ควรไปถึงงานก่อนงานเริ่มสัก 10 นาที ไม่ควรไปเร็ว หรือช้ากว่านั้น 

           4. ควรทักทายพบปะกับเจ้าภาพเมื่อไปถึงในงาน

           5. ควรพยายามพูดคุยทักทายกับแขกคนอื่น ๆ ที่มาในงาน

           6. เวลาที่นั่งโต๊ะ ควรให้แขกผู้ใหญ่นั่งก่อน แล้วเราค่อยนั่งตาม

           7. เวลาเดินเข้าประจำโต๊ะ ผู้ชายควรช่วยขยับเก้าอี้ให้ผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ ก่อน

           8. ก่อนนั่งโต๊ะควรงดสูบบุหรี่

           9. เวลานั่งโต๊ะให้นั่งตัวตรง

           10. อย่าอ่านหนังสือบนโต๊ะอาหาร นอกจากรายการอาหาร

           11. นำผ้าเช็ดมือที่วางอยู่บนโต๊ะออกมาคลี่ แล้วนำมาวางบนตัก

           12. อย่าเล่นช้อน ส้อม หรือผ้าเช็ดมือ

           13. อย่ากางข้อศอกในเวลารับประทานอาหาร

           14. ถ้ามีสิ่งใดตก ควรแจ้งให้คนเสิร์ฟทราบ

           15. ต้องคอยสังเกตว่าอุปกรณ์ในการรับประทานชิ้นไหนเป็นของเรา อย่าหยิบผิด

           16. ในระหว่างที่ทำการรับประทานอาหารอยู่ อย่าจับ หรือแต่งผม ผัดหน้า ทาปาก เด็ดขาด

           17. ช่วยเหลือเพื่อนร่วมโต๊ะตามสมควร

           18. อย่าเอื้อมหยิบของผ่านหน้าผู้อื่น แต่ถ้าเพื่อนร่วมโต๊ะส่งให้ก็ควรหยิบเป็นมารยาท

           19. หากทำอะไรผิดก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่ต้องแก้ตัว

           20. ถือแก้วดื่มน้ำด้วยมือขวา

           21. อย่าจิ้มฟันในขณะรับประทานอาหาร

           22. รับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมไว้คู่กัน แล้ววางไว้ในจาน

           23. ลุกจากโต๊ะอาหารเมื่อคนอื่น ๆ อิ่มแล้ว

          และนี่ก็คือมารยาทในการรับประทานอาหารในแบบต่าง ๆ ที่เชื่อได้เลยว่าทุกคนต้องมีโอกาสได้เจอสถานการณ์เหล่านี้บ้างแน่นอน และเมื่อได้รู้แล้ว ก็อย่าลืมนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับใช้บนโต๊ะอาหารให้เหมาะสมด้วยนะคะ

บทที่ 5 มารยาทในการติดต่อในวงการธุรกิจและงานอาชี

ความสัมพันธ์แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
                 ความสัมพันธ์ทั้งสองรูปแบบมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ความสัมพันธ์แบบเป็นทางกรทำให้งานดำเนินไปตามขั้นตอน มีวัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการ เพื่อบรรลุเป้าหมายโดยกำหนดตามหน้าที่ของแต่ละคนที่รับผิดชอบ และประสานสัมพันธ์กันตามลำดับ งานในลักษณะนี้จึงมีความรับผิดชอบลดหลั่นกันตามลำดับ ความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการก็เกิดควบคู่กันไปกับความสัมพันธ์ส่วนตัว มีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างความรัก จงรักภักดี ความผูกพัน มีกำลังใจในการทำงาน เพื่ออุทิศให้แก่งานอย่างเต็มที่ ผลก็คือประสิทธิภาพของงานสัมฤทธิ์ผลจนบางครั้งอาจเกินคาดหมายก็ได้
                 การสื่อสารในระบบธุรกิจ
                 ในระบบธุรกิจ ทุกบริษัท หน่วยงานองค์การ ที่มีเครือข่ายกว้างขวาง แบบสื่อสารก็เป็นทางการในองค์การที่จะต้องบริการ เพื่อเข้าถึงวัตถุประสงค์ขององค์การโดยการวางแผน กำหนดการและนโยบายอย่างหนึ่ง นี่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพลังความสามารถจากสมอง มีการสื่อสารอย่างเป็นทางการ ไม่เป็นการส่วนตัว เป็นจริงเป็นจังสื่อสารจากองค์การสู่ผู้ปฏิบัติ
                 การขจัดช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการซึ่งมักเป็นรูปแบบคำสั่งลงมากับความสัมพันธ์ของคนระดับล่างที่ไม่เป็นทางการ ทำได้เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น ๆ คือ การสื่อสารระหว่างผู้บริการและผู้ปฏิบัติ โดยเฉพาะการพูด การซักถาม และต้องเป็นนักฟังที่ดี ซึ่งหมายถึง การรู้จักคอยฟัง มีความอดทน ใจกว้างที่จะรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย
                พื้นฐานของการทำงาน
                พื้นฐานของการทำงานหลักสำคัญคือ ความสามัคคี ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะแต่ละคนรู้เข้าใจปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของตน ซึ่งหมายถึงทุกคนมีความรับผิดชอบในงานของตน ไม่ก้าวก่ายความรับผิดชอบของผู้อื่น ไม่เพ่งโทษคนอื่น
                อิริยาบถที่พึงหลีกเลี่ยง
                                    การยืน ไม่ควรมีภาพของผู้ทำงานยืนดูหนังสือพิมพ์ หนังสือเริงรมย์ รูถ่าย เป็นต้น วนเวลางาน
                                    การเดิน ไม่ควรมีภาพสตรีลากรองเท้าแตะเดินไปมาในขณะปฏิบัติงาน
                                    การนั่ง ไม่ควรมีภาพของการนั่งส่องกระจก หวีผม แต่งหน้า ทาปาก เป็นต้น
                                    การนอน ไม่ควรมีภาพเจ้าหน้าที่นอนท่าเอนกายกับเก้าอี้
                                    การใช้โทรศัพท์ ไม่ควรติดต่อธุระส่วนตัวของตนโดยไม่จำเป็น
                                    การรับโทรศัพท์ ไม่ควรให้มีการคอยนาน โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ใหญ่โทรติดต่อเข้ามาหรือลูกค้าเข้ามาติดต่อในบริษัท
                       การรับประทานจุกจิก เป็นการสร้างภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อผู้มาติดต่อ เพราะอาจเกิดความเข้าใจผิดว่าพนักงานทุกคนเป็นเช่นที่พบเป็นทุกคน
                มารยาทพึงกระทำในการติดต่อทางธุรกิจ
                        เพื่อล่วงลุเป้าหมายมารยาทที่พึงกระทำมีดังนี้
                ต้องคิดตลอดเวลาว่า ผู้มาติดต่อด้วยคือลูกค้า เป็นคนสำคัญเสมอและสำคัญกว่าคนในหน่วยงาน ดังนั้นจะต้องคอยยกย่องให้เกียรติเขา ไม่ใช้กิริยาวาจาอันทำให้เขารู้สึกว่าเขาต่ำต้อยกว่าเรา และเขาเป็นผู้งอนง้อซื้อ บางครั้งผู้ให้บริการคิดว่าการแสดงความเป็นกันเองจะทำให้ลูกค้าประทับใจ เช่น เรียกลูกค้าว่าพี่ น้อง หรือผู้สูงอายุกว่าเรียก ตา ยาย ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเพราะลูกค้าอาจคิดว่ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นญาติกับตน ดูถูกคนแก่ ๆ หรือ
                บางครั้งความต้องการของลูกค้าจะไม่ถูกต้องตามหลักการก็ตาม ไม่ควรทักท้วงตรง ๆ ว่าเขาผิด พร้อมทั้งอ้างเหตุผลมากมายและสรุปว่าเราให้บริการอย่างนั้นไม่ได้ ควรใช้วิธีการจูงใจอย่างนอบน้อมให้ลูกค้าโอนอ่อนผ่อนตาม โดยเสนอสิ่งที่ถูกต้องและเปิดโอกาสให้ลูกค้าใช้วิจารณญาณ เปรียบเทียบกับความคิดของเขา
 
                มีความแม่นยำในหลักการ  แนวความคิด ทฤษฎีต่าง ๆ แต่สิ่งเหล่านั้นคือตำรา ที่ต้องยึดหลักเพื่อให้มีความรู้ และเพื่อจบการศึกษา แต่ในทางปฏิบัติต้องใช้เทคนิค ความอดทนความใจเย็น ความสุภาพอ่อนโยน ตามบุคลิกภาพ ของลูกค้าที่แตกต่างกัน
                ทุกหน่วยงานต้องมีเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เพื่อติดต่อกับผู้มาติดต่อเป็นด่านแรกงานหลักไม่จำเห็นต้องรอบรู้ไปหมดทุดอย่างและเป็นคนสวยสะดุดตาถึงขั้นนางงาม แต่ต้องสามารถทำให้ผู้มาติดต่อมีความรู้สึกที่ดี
วาจาสุภาพ การใช้ถ้อยคำไม่เพียงแต่คำว่า คุณ คะ ครับ กรุณารอสักครู่ แต่ที่สำคัญคือ น้ำเสียงต้องมีความอ่อนโยน มีลีลาจังหวะในการใช้ภาษา
ดังนั้นในภาพลักษณ์ของหน่วยงานเจ้าหน้าที่ทุกคนความฝึกคำเหล่านี้ เช่น โปรด กรุณา ขอบคุณ ขอประทานโทษ เป็นต้นให้ติดปากด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและสุภาพเพราะไม่ว่าจะนั่งอยู่ในตำแหน่งใด ผู้ให้บริการมีเป้าหมายเดียวกันคือ ปฏิบัติตนให้ผู้มาติดต่อกับหน่วยงานประทับใจและชื่นใจ
                การตรงต่อเวลา ในการติดต่อนัดหมายต้องมีการกำหนดเวลาและสถานที่จึงเป็นสิ่งจำเป็นซึ่งต้องมีการจัดระเบียบกำหนดเวลารู้จักจัดเวลา เพราะหมายถึงการได้หรือสูญเสียผลประโยชน์กับผู้ที่ตนติดต่อหรือนัดหมายด้วย
      ต้องถือว่างานใหม่ในหน่วยงานทุกคนมีความรับผิดชอบร่วมกันนอกเหนือจากงานที่รับผิดชอบเฉพาะ สิ่งที่ควรทำ คือ ต้องให้ความช่วยเหลือโดยการแนะนำให้ไปติดต่อที่สถานที่ บุคคลหรือผู้ปฏิบัติงานนั้น ๆ ซึ่งทำได้ไม่ยาก
                ต้องปลูกฝังความสำนึกของการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความเอื้ออาทรกันหรือความเมตตา ซึ่งเป็นพื้นฐานการอยู่ร่วมกันที่ทุกศาสนาเน้นให้ศาสนิกชนยึดถือหลักปฏิบัติ มีงานส่วนรวมก็ร่วมมือกันทำมีกิจกรรมพิเศษก็ขยันขันเข็งร่าเริงไปร่วมตามแต่ละฐานะและบทบาทเช่นงานปีใหม่ มีแข่งกีฬาสีร่วมกัน ให้ครอบครัวของพนักงานมีโอกาสสังสรรค์ร่วมกันเป็นต้น
                ต้องไวต่อข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ควรเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ต้องมีความไวต่อข้อมูลทั้งหลายเพราะหมายถึงความได้เปรียบต่อส่วนรวมในด้านการติดต่อกับผู้อื่นโดยเฉพาะผู้มารับบริการ ซึ่งอาจทำได้โดยการจัดผึก อารมณ์หน่วยพิเศษ เพื่อกลับมาให้ความรู้กับคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งตัวเองและส่วนรวม
                บุคลิกภาพของพนักงานควรมีความสุภาพ อ่อนโยนแต่ไม่ใช่อ่อนแอ แข็งขันอดทนแต่ไม่ใช่แข็งกร้าวมีความน่าเชื่อถือได้ในทุกระดับ
                ควรสร้างนิสัยให้เกิดขึ้นกับคนทุกคนเป็นการลงทุนที่ไม้ต้องลงแรงกายหรือทรัพย์สินเงินทองเลยคนทุกคนไม่ชอบคนหน้างอหน้าบึ้ง

                การยิ้มเป็นคุณสมบัติของมนุษย์โดยเฉพาะ  ในการติดต่องานไม่ว่าจะในพวกเดียวกันหรือกับผู้มาติดต่อขอให้ยิ้มรับแขกยิ้มเมื่อพูดกับลูกค้าการยิ้มบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ดีแจ่มใสมองโลกในแง่ดี และทำให้ผู้มาติดต่ออยากพูดด้วย

บทที่ 4 มารยาทในการเข้าร่วมงานสังคม

มารยาทในการเข้าร่วมงานสังคม
มารยาท คือ การแสดงออกที่มีแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติโดยได้รับการอบรมให้งดงามตามความนิยมแห่งสังคมมารยาท ไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิด แต่ได้มาจากสิ่งแวดล้อม มีการศึกษา อบรมเป็นสำคัญ ดูกิริยา ฟังวาจาของคนแล้ว พอคาดได้ว่าผู้นั้นได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างไรพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของมารยาท คือ ความสุภาพและสำรวม คนสุภาพจะเป็นคนที่มีจิตใจสูงเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะคนที่มีอะไรในตัวเองแล้วจึงจะสุภาพอ่อนน้อมได้ ความสุภาพอ่อนน้อมมิได้เกิดจากความเกรงกลัวแต่ถือว่าเป็นความกล้า ส่วนความสำรวม คือ การเป็นคนมีสติ ไม่พูดไม่ทำอะไรที่เกินควร รู้จักการปฏิบัติที่พอเหมาะพองาม คิดดีแล้วจึงทำ คาดแล้วว่าการกระทำจะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย มิใช่เฉพาะตัวคนเดียว
มารยาทแสดงออกมาที่กิริยาท่าทางและการพูดจา อาศัยการบอกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องฝึกเองจนเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ คนดีมารยาทดีเท่ากันแต่อาจไม่เหมือนกัน เพราะคนมีบุคลิกภาพต่างกัน การแสดงออกย่อมต่างกันด้วย มีตัวร่วม คือ แสดงออกมาแล้วเป็นผลดีแก่ตัว เพราะทำให้ผู้อื่นพอใจด้วยรู้สึกว่าได้รับเกียรติ เมื่อให้เกียรติแก่ผู้อื่น ตนเองก็จะเป็นผู้มีเกียรติด้วย สังคมใดมีคนแสดงมารยาทดีต่อกัน สังคมนั้นเป็นสังคมของผู้มีเกียรติ
มารยาทในการแต่งกาย
การแต่งกายแสดงถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม แล้วยังแสดงถึงอุปนิสัยใจคอ จิตใจ รสนิยม ตลอดจนการศึกษาและฐานะของแต่ละบุคคลได้เป็นอย่างดี การแต่งกายของผู้ที่อยู่ในสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็นและมีหลักสำคัญที่ควรปฏิบัติ2 ดังนี้
1. ความสะอาด ต้องเอาใส่เป็นพิเศษโดยเริ่มต้นด้วยเครื่องแต่งกาย ได้แก่ เสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า เครื่องประดับ กระเป๋าถือ ต้องสะอาดหมด ใช้เครื่องสำอางค์แต่พอควรและร่างกาย ก็ต้องสะอาดทุกส่วนตั้งแต่ ผม ปาก ฟัน หน้าตา มือ แขน ลำตัว ขาและเท้าตลอดจนถึงเล็บ รวมไปถึงกลิ่นตัวที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ต้องอาบน้ำฟอกสบู่ให้หมดกลิ่นตัว ถ้าทำได้ทุกส่วน ก็ถือว่าสะอาด
2. ความสุภาพเรียบร้อย คือ เครื่องแต่งกายนั้นต้องอยู่ในลักษณะสุภาพเรียบร้อย ไม่รุ่มร่ามหรือรัดตัวจนเกินไป ไม่ใช้สีฉูดฉาด ควรแต่งให้เข้ากับสังคมนั้น ความสุภาพเรียบร้อยนั้นรวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องประดับและการแต่งหน้าแต่งผมด้วย
3. ความถูกต้องกาลเทศะ การแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ เป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้มีมารยาทดีย่อมต้องเอาใจใส่ เพราะการแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ หมายถึง การเลือกแต่งกายให้ถูกต้องเหมาะสมกับเวลายุคสมัยนิยมและสถานที่
ข้อควรปฏิบัติในการแต่งกาย
1. ให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่จะไป เช่น งานมงคลก็ควรใส่สีสดใส งานอวมงคล ถ้าเป็นงาน..พก็ควรใส่สีดำ เป็นต้น
2. ให้เหมาะสมกับความสำคัญของงาน เช่น งานระหว่างเพื่อนฝูง งานรัฐพิธี ถ้าเป็นงาน..พ ก็ต้องดูว่าเป็นงาน..พทั่วไปหรืองาน..พพระราชพิธี
3. ให้เหมาะสมกับเวลา เช่น เป็นงานราตรีสโมสรหรืองานกลางคืนธรรมดา
4. ให้เหมาะสมกับฐานะและหน้าที่ เช่น เป็นครู เป็นนักร้อง เป็นหัวหน้า เป็นคนรับใช้
5. ให้เหมาะสมกับวัย เช่น เป็นคนมีอายุก็ไม่ควรแต่งเป็นวัยรุ่นเกินไปเป็นเด็กก็ไม่ควรแต่งให้เป็นผู้ใหญ่เกินไป
6. ให้เหมาะสมกับยุคและสมัยนิยม ไม่นำสมัยเกินไปหรือล้าสมัยเกินไป
7. พึงแต่งกายให้สมเกียรติกับงานที่ได้รับเชิญ
มารยาทในการยืน
1. การยืนตามลำพัง
การยืนตามลำพังจะยืนแบบใดก็ได้แต่ควรจะอยู่ในลักษณะสุภาพ สบายโดยมีส้นเท้าชิด ปลายเท้าแยกเล็กน้อยหรืออยู่ในท่าพัก ปล่อยแขนแนบลำตัว ไม่หันหน้าหรือแกว่งแขนไปมา จะยืนเอียงได้บ้างแต่ควรอยู่ในท่าที่สง่า
2. การยืนเฉพาะหน้าผู้ใหญ่
การยืนต่อหน้าผู้ใหญ่ ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรยืนตรงหน้าผู้ใหญ่ ควรยืนเฉียงไปทางใดทางหนี่ง ทำได้ 2 วิธี คือ
2.1 ยืนตรง ขาชิด ส้นเท้าชิด ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย มือสองข้างแนบลำตัวหรือประสานกันไว้เบื้องหน้าใต้เข็มขัดลงไป ท่าทางสำรวม
2.2 ยืนตรงค้อมส่วนบนตั้งแต่เอวขึ้นไปเล็กน้อย มือประสานไว้ข้างหน้า ท่าทางสำรวมการประสานมือ ทำได้ 2 วิธี คือ คว่ำมือซ้อนกัน จะเป็นมือไหนทับมือไหนก็ได้หรือหงายมือทั้งสอง สอดนิ้วเข้าระหว่างร่องนิ้วของแต่ละมือ การยืนเฉพาะหน้าผู้ใหญ่จะใช้จนถึงการยืนเฉพาะหน้าที่ประทับ การค้อมตัวจะมากน้อยย่อมสุดแล้วแต่ผู้ใหญ่ ถ้ามีอาวุโสหรือเป็นที่เคารพสูง ก็ค้อมตัวมาก